Sunday, October 21, 2007

ผู้มีปัญญา ย่อมรู้วิธีสร้างทรัพย์จากขยะ

ผมไปงาน Blognone.com ที่คณะวิศวะคอมฯ ม.เกษตร (สถาบันคุณ mk เขาล่ะครับ) ตอนพักเบรก ผมลงมาซื้อน้ำที่ซุ้มทาน ก็ซื้อน้ำอัดลมกระป๋องทาน แม่ค้า หน้าบอกบุุญไม่รับมาก ๆ เนื่องจากวันนั้น รู้สึกว่าวันเสาร์-อาทิตย์มั้ง แต่จริง ๆ มันก็มีนักศึกษาไปเรียนอยู่น่ะครับ

ผมแบบว่า เฮ้ย กรูแทบจะต้อง โอ้ว ขอโทษนะคร๊าบบบ ขอรบกวนเวลา นั่งเล่น ขออนุญาตผมซื้อน้ำได้มั้ยครับ เลยนะ

แบบว่า หน้าหงิกเลย พูดจาก็ไม่ไพเราะเอาซะเลย คือ แบบว่า ไม่บริการใด ๆ ทั้งสิ้น เอาตังค์จ่าย โดยน้ำน่ะ ผมก็เปิดตู้หยิบเอาเอง
ถามราคา ก็แบบว่า พูดห้วน ๆ เลย

ผมก็ซื้อเสร็จก็แบบว่า แงร่งเอ้ย..แต่ก็นะ ผม sensitive กับงานบริการครับ ช่วยไม่ได้ ก็พยายามปลง ๆ ซะ คิดไรมาก เปลืองเซลล์สมอง
แล้วผมทานน้ำเสร็จ ก็ปกติเนี่ย จะดึงหูกระป๋อง (จริงๆ เขาเรียกไอ้ตรงที่เปิดกระป๋องน้ำอัดลมว่าอะไรอ่ะครับ ใครทราบรบกวนบอกด้วยนะครับ)

ปกติผมมักจะดึงเก็บไว้ให้พี่คนนึง เขาชอบเอารวบรวมแล้วไปบริจาค เห็นว่าเขาเอาไปทำขาเทียมบริจาคอ่ะครับ

แล้วผมก็ฉุกคิดมาว่า จริง ๆ เนี่ย ไอ้ตรงซุ้มขายน้ำ ถังขยะมันก็ไม่มี (มั้ง )
ผมต้องเดินเลยมา ไกล ๆ หน่อย ถึงมีถังขยะ

แล้วผมก็คิดได้ว่า เคยไปเดินจตุจักรมั้ยครับ เขาจะมีคนเอาถุงพลาสติก ใหญ่ ๆ มาตั้งไว้ แถมแปะป้าย ว่า ให้ทิ้งกระป๋อง หรือ ขวดพลาสติก ลงในนี้ ด้วย
เงินทั้งนั้นเลยนะครับ

 

คือ อย่างน้อย คุณขายน้ำ ได้เงินเดือน แล้วถ้าหาถัง หรือ ถุงพลาสติกไปตั้งซักอัน เก็บสะสม ไว้รอขาย มันก็เงินนะ ไหน ๆ ก็ไปไหนไม่ได้
ต้องนั่งเฝ้าร้านอยู่แล้วนี่ น่าจะคิดได้นะ




 

แต่ 555 ช่วยไม่ได้ ไม่ชอบใจเว้ย ไม่บอกอ่ะ ภาวนาว่าอย่าให้มีนักศึกษา ใจดี หาถุงไปวางเป็นถังรับกระป๋องน้ำ ก็แล้วกันครับ

แม้แต่ยามใต้หอ ยังคุ้ยขยะ เก็บกล่องเอาไว้ขายพ่อค้ารับซื้อของเก่าเล้ย
อยู่ที่วิธีคิดจริง ๆ ครับผม
Posted by Picasa

Friday, September 28, 2007

ComWorld:Good Enough to Go?




Posted by Picasa

Saturday, August 25, 2007

เมื่อผมรู้สึกโง่ แล้วมีความสุขมาก ๆ ๆ ๆ



ว่างเว้นไปนาน (ทำไม ใคร ๆ ที่เขียน blog มักจะลืมความรู้สึก "อยากแบ่งปัน" ในการแชร์ประสบการณ์ ผ่าน blog ตัวเองล่ะครับ)
เข้าเรื่องเลยดีกว่า กับเช้าวันอาทิตย์ที่แสนเงียบสงบ และ สดชื่น หลังฝนตก อากาศเย็นสบาย และการนอนแบบพอเพียง (ไม่มากไป ไม่น้อยไป ให้ร่างกายได้พัก พอดี ๆ )

เมื่อวานนี้ตั้งแต่เวลา 13.00-22.00 ของวันที่ ผมไปงานมีทติ้ง ของเว็บ blog เกี่ยวกับ เทคโนโลยีครับ บอกชื่อก็ได้ครับ www.blognone.com ก็ Blog นั้นไง ชื่อนี้มาจากภาษาไทยที่คุณมาร์คเจ้าของ blog เคยพูดเล่น ๆ ในงานมีทติ้งที่นึงซึ่งผมก็เคยได้ไปฟังมาก่อน แล้วรู้สึกได้เลยว่า คุณมาร์คเป็นคนที่พูดในที่สาธารณะได้ดีคนนึงทีเดียวครับ (อันนี้มาตรฐานผม มาตรฐานคนอื่น ไม่รู้นะครับ แต่ผมก็ฟังสัมนาบ่อยนะเอ้า)

เมื่อวาน เป็นการจัดงานเนื่องในวันคล้ายวันเกิด ของ blognone ซึ่งมีอายุ 3 ปี หัวข้อที่พูดก็มี 4-5 หัวข้อ แต่เกี่ยวข้องไปทางเทคโนโลยีล้วน ๆ น่ะครับ

ผมไม่ได้จบสายไอที ผมไม่ได้เก่ง ไอที ผมเป็นแค่ user ทั่วไป ชอบอ่านเว็บ หาความรู้

จริง ๆ ไม่ได้อ่าน blognone มาก่อนหน้านี้เท่าไหร่ แค่เคยได้ยินชื่อจากงานสัมมนา ว่าเป็น blogเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่คนให้ความสนใจเยอะ และ เป็น สังคมที่เข้มแข็งพอตัวเลยล่ะครับ

ผมฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่องเท่าไหร่ล่ะครับ เมื่อวานนี้....12.45 ไปถึงก่อน มีทีมงานมาแล้วบางส่วน
14.00 ความรู้สึก "ทำไมกรูฟังไม่ค่อย แบบว่า ปิ๊ง อ๋อ " ไรเงี้ย คือผมคิดตามเกือบไม่ทันนะครับ เพราะศัพท์บางศัพท์เป็น ศัพท์เทคนิค แต่แบบว่า มันพูดเป็นไทยลำบาก ดีนะที่วิทยากร เน้นอธิบายพื้นฐานให้ด้วย ไม่งั้นคงแย่กว่านี้น่ะครับ

ทำไมกรูโง่ ขนาดนี้วะ
ทำไม กรูไม่ลุกกลับบ้านล่ะ ถ้าฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ก็ จริง ๆ ก็รู้บ้างไม่รู้บ้างน่ะครับ
ทำไม ยังนั่งต่อเหรอครับ
คุณต้องไปเองครับงานสัมมนาประเภทนี้

ผมไม่ค่อยจะเจอกลุ่มคนที่ทำให้ความรู้สึก "มีไฟ" ในการใช้ ความคิดของตัวผม เท่าไหร่
ชีวิตทำงานออฟฟิศ เจอแต่งาน กับ งาน ซึ่งไม่ใช่สายไอที

แต่เมื่อวานนี้ ผมเห็นเด็ก ม.1 ม.2 มันพูดอะไรเกี่ยวกับ ubuntu (เขียนถูกหรือเปล่าไม่รู้)เป็น opensource (รู้จัก opensource แค่มันฟรี แค่นี้ครับผมน่ะ)น้องทำอะไรอยู่หน้าห้องพูด ๆ ๆ ๆ

ม.1 พูดภาษาเดียวกับที่คนที่เป็นระดับ programmer , developer เข้าใจน่ะครับ

ผมโง่ แต่เชื่อมั้ยครับว่า ผมมีความสุขที่โง่

น้ำเต็มแก้ว ใคร ๆ ก็ไม่ยอมรับว่าวตัวเองเป็นน้ำเต็มแ้ก้ว
ผมรู้สึกว่า การที่ผมคุยเรื่องไอที ได้มากกว่าเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่ออฟฟิศ แค่นั้นก็รู้สึกเท่ห์แล้ว ดูมีความรู้แล้ว

นั่นเอง เป็นสิ่งที่ทำให้คนเก่ง ไม่น่ากลัวเท่าคนขยัน

ถ้าผมไม่ขยันออกไปงานครั้งนี้ ผมจะไม่ยอมรับว่าตัวเองโง่มั้ง
แมร่ง กบในกะลา ชัด ๆ

เมื่อผมโง่ ผมจึงได้เรียนรู้ทุก ๆ วินาที every single words ซึ่งมาจากคนเหล่านั้น
(ปล.คุณต้องไปครับงานสัมนาที่รวมคนเหล่านั้นมาอยู่ด้วยกัน แล้วแบ่งปันไอเดียกันเต็มที่ (แม้เวลาจะไม่อำนวย)) ไปเอง กับรอดู video มันต่างกันครับ น้ำเสียงจากลำโพงบ้านคุณ กับ น้ำเสียงที่เปล่งผ่าน เส้นเสียงของ guru ที่ไม่ยกตนข่มท่าน ตั้งใจมาแบ่งปัน
คุณจะรับพลังจากพวกเขาเหล่านั้นได้ไม่ยากเลย

นั่นแหละ พลังที่ทำให้ผมอยากเขียน blog เรื่องนี้ครับ

จงโง่ แล้ว คุณจะได้เรียนรู้ ตลอดเวลา
ผมอยากรู้จักคนเหล่านั้นเป็นการส่วนตัวเหลือเกินครับ แบบว่าผมพูดเก่งนะครับ แต่ถ้าให้ผมนั่งฟังคนพวกนี้พูดนะ
ผมฟังได้ทั้งวันแน่ ๆ ครับ

คนเหล่านี้แหละ ที่ผมมองว่าจะพัฒนาประเทศเรา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผมมั่นใจ พี่ ๆ เพื่อนๆ น้องๆ เหล่านั้น ทำได้แน่ๆ

ปล. เมื่อวานนี้มีน้อง ม.1-ม.2 พูดเรื่อง ubontu
มีอาจารย์ รวิทัต ภาควิชา คอมพิวเตอร์ พูดเรื่องอะไรซักอย่างที่ผมชอบฟังโคตร ๆ จำได้แค่ ปรัยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
มีคุณ apirak ไม่ใช่ โกษะโยธินนะครับ พูดเรื่อง usability , user interface ประมาณนี้

ต้องไปดูวิดีโอเพิ่มเอาที่ blognone นะครับ

Friday, March 9, 2007

Swensens ทำผมเซ็งอีกแล้วครับ

Strawberry fifty Nine ทำผมเซ็ง : ไปกับเพื่อน 3 คนครับ คนก็เยอะตามสไตล์แหละครับ วันศุกร์ 16 กุมภาพันธ์ 2550 สามทุ่มครึ่งครับ แต่คนเต็มร้านเลย

1. ผมต้องหาที่นั่งเอาเอง เพราะพนักงาน เสริฟ ไม่ว่าง และ ไม่แสดงอาการต้อนรับ เลย เพราะยุ่งอยู่กระมัง แต่ว่า ขอให้หันหน้ามาแสดงอาการรับรู้หน่อยไม่ได้เหรอว่าลูกค้าเดินเข้ามาแล้ว แล้วก็ทำหน้าแบบว่า อ๊ะ..สักครู่นะครับ เดี๋ยวจะรีบเคลียร์โต๊ะให้ เงี้ย แต่ว่าไม่มีครับ

2. ไอ้เพื่อนผมเดินไปจนเลยกลางร้าน ก็ไม่มีการเข้ามาต้อนรับ มันมองหาโต๊ะเอาเอง แบบคนไม่สนใจเรื่องของการบริการ เนื่องจากเห็นว่าคนเยอะ



3.เพื่อนสั่งได้รวดเร็ว เพราะ









มันเลือกกันมาแล้ว ผมก็กำลังจะหาสั่งอย่างอื่น ที่ไม่เหมือนกับพวกเพื่อนๆ แต่ว่า พนักงาน (คนในรูปนั้นแหละครับ หน้าหงิกมากๆ ขอบอกครับว่า เห็นได้ชัดเลยว่า หน้าบึ้ง) สุดท้ายผมก็ต้องเลือกไอ้ 59 Strawberry ทั้งๆ ที่ว่าจะสั่งอย่างอื่น ซึ่งราคาแพงกว่าด้วยซ้ำ (อดได้รายได้ผมไปอีกนิดนึง ) แต่ลองคิดดูว่า ถ้าขาดรายได้ไป 30 บาทต่อคน วันนึงลุกค้าซัก 100 คน ก็ 3000 บาทแล้วนะครับ ผมไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะเลือกรส ผมต้องบอกว่า เอาไอ้สามรสที่ติดบนป้ายนั่นแหละครับ (แสดงอาการเล่น ๆ เพื่อพยายามจะลดความตึงเครียดของคุณพนักงานสูงศักดิ์(กว่าลูกค้า) แต่เขาก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย แล้วก็กลับมาบึ้งอีก

4. ไอศกรีมมาถึง แล้วก็อย่างที่เห็นน่ะครับ ละลายมาเลย แย่ครับ รู้สึกแย่ ไปเลย ทั้ง 3 แก้ว ละลายมาหมด ไม่ได้เป็นก้อนมาเลย เป็น แค่ก้อนเหลว ๆ น่ะครับ












































Happiness Never Melt !!! เป็นไงครับ Slogan บน Tiisue ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมเห็น และ รูปที่ผมถ่ายได้เลยครับ ก็ถือว่าเป็นเสียงหนึ่งของผู้บริโภคผู้ จุกจิกกับงานบริการ นะครับ













Thursday, March 8, 2007

MK เปลี่ยนเครื่องแบบเป็นสีบานเย็น..แล้วครับ

ไม่ได้กิน MK เสียนาน 16 Feb 2007 17.42 ไปนั่งกิน MK กันกับเพื่อน ที่ไม่ได้เจอกันนาน หลังเรียนจบ MK เปลี่ยน เครื่องแบบพนักงานเป็นสีชมพูบานเย็น แล้วก็ เปลี่ยนจากกระโปรงเป็นกางเกงขาสามส่วน
ผม : เขาเปลี่ยนเครื่องแบบมานานหรือยังครับเนี่ย ผมไม่ได้สังเกตุเลย..
พี่พนักงาน MK : เปลี่ยนมาได้ซักประมาณ 2-3 สัปดาห์แล้วค่ะ...แล้วพี่เขาก็ทำหน้าเขิน ๆ
(คงไม่ค่อยมีใครกล้าถามมั้งครับ ) แล้วพี่เขาก็บอกว่า..อ่า..สีมันสดไปหรือเปล่าคะ..?
ผม: ไม่สดไปหรอกครับ สวยดี
ผม : เปลี่ยนเป็นกางเกงด้วยเหรอครับ อย่างนี้ก็เดินเหินได้คล่องหน่อยมั้ยครั
พี่พนักงาน MK : ค่ะ ก็สะดวกขึ้นค่ะ
ผมว่า MK นี่ก็ขยันพัฒนาองค์กรเหลือล้ำจริงๆ เลยนะครับ คือดูเป็นองค์กรที่กระฉับกระเฉง แบบผู้ใหญ่ซักวัย 30 ต้น ๆ น่ะครับ คือมีความสุภาพ สุขุม แล้วก็มีมาตรฐานในการทำงาน เสมอ แต่ก็ยังคงแฝงความขี้เล่นแบบเด็ก ๆ ไว้นิด ๆ ให้ดูผ่อนคลาย แล้วก็ ยังเป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใกล้ชิดลูกค้าได้ดีเสมอ ๆ

มิน่า...กว่าจะได้กิน...หลาย ๆที่รอคิวกันสุดชีวิต..

ปล..เห็นรูปรองเท้าที่วงสีแดง ๆ มั้ยครับ นั่นน่ะ...เป็นรองเท้าเด็กนักเรียนไม่ใช่เหรอครับ..แต่ว่าพี่พนักงาน MK ใส่กันทุกคนเลยครับ

อีกรูปนั่น.....รองเท้าเด็กนักเรียนของแท้ครับ ม.ปลาย อาจจะเป็น นักเรียน หอวัง...เดินผ่านไปครับ..





พนักงานขาย ว่างงานทั่วหน้า



หลังจากดูหนังที่ SF Cinema ลาดพร้าว เสียอารมณ์ไปแล้ว..ก็ไปเดินเล่นอีกนิดหน่อย ลงบันไดเลื่อนมา...เฮ้อ...เห็นภาพนี้แล้วก็สงสารนะครับ เศรษฐกิจบ้านเรานี่ถ้าจะย่ำแย่เสียจน พนักงานขาย ขายสินค้าไม่ออกกันเลยทีเดียว .....รวมกลุ่มกันได้ขนาดนี้...อืม... ไม่ได้โม้นะ..มีหลักฐาน...เอ๊ะ..หรือเขาประชุมกันว่าจะหากลยุทธ ยุทธวิธี (กลยุทธวิธี, กลยุทธวิถี เคยมีใครบัญญัติคำนี้มั้ยครับ) หาทางเพิ่มยอดขายกันอยู่...ไอ้ลูกค้าว่างงาน อย่างผมก็เม้าท์ซะงั้น...ถ้าผมเข้าใจผิดก็ขอโทษด้วยนะครับ..ถ้านายจ้างมาเห็นเข้า ก็อย่าไปว่าเขาล่ะครับ..ลูกค้าไม่มีนี่นา..จะให้ยืนเฝ้าของไร้ชีวิตอยู่ ก็กระไร...

พ่อค้าแม่ค้า ลูกค้าหลักของน้ำแดงจริง ๆ นะ


ไม่เชื่อดูสิครับ...อืม...เจ้าของพื้นที่น่าจะมีแบบว่า เช่าพื้นที่วันนี้ แถมฟรีน้ำแดงทุกวัน เงี้ย...ซื้อน้ำแดงแบบรวม ๆ มา แล้วมาแบ่งแจก แต่ว่าได้ใจพ่อค้าแม่ค้าอีกหน่อยนะเอ้า...อิอิ ยังไงก็ต้องซื้ออยู่แล้ว ก็มาซื้อจากเจ้าของที่ไปเลย..กำไรนิดหน่อย แต่จะได้รู้เรื่องราวต่าง ๆ จากเจ้าของพื้นที่นะ คือ ใกล้ชิดกับลูกค้าที่มาเช่าที่เราอ่ะ....เพื่อการพัฒนาการให้บริการได้นะครับ

เมื่อผมต้องเจอกับคนเกือบ 50 คน ที่ป้ายรถเมล์เดียวกัน

เยอะเหลือเกิน คนกรุงเทพฯ ทำไมมันเยอะอย่างนี้ครับ แอบถ่ายมาอีกแล้ว กลัวว่าเขาจะว่าเอา...แต่รับรองได้ครับว่า ถ้ามาเจอสภาพแบบนี้ที่ป้ายรถเมล์ผมก็ตกใจแหละครับ วันนั้นไม่ใช่วันพิเศษอะไรเลยด้วย 5 กพ 2550 07.56 นาที เนี่ยครับ คือ มันก็จะแปดโมงแล้วนะ รถก็ไม่ได้ชนกันนะ (จากซอยลาดพร้าว 42 ย้อนไปจนถึงรถใต้ดินสถานีลาดพร้าว (ประมาณ 3-4 ป้ายรถเมล์)

ปกติใครเจอสภาพนี้บ่อย ๆ มั่งอ่ะครับ พอดีผมไม่เคยเจอคนอีก เกือบ 50 คนที่ป้ายรถเมล์เดียวกันอ่ะครับ...เฮ้อ...วันนี้บ่นแค่นี้ดีกว่า..ใครมีรูปเยอะกว่านี้ แน่จริงมาอวดหน่อยจิ่

Wednesday, March 7, 2007

ดู BABEL กับ SF Cinema :ตั๋วโคตรซีดเลย

วันนี้ตอนเย็นหลังสอบ Toeic แล้วก็นัดเพื่อนไปดูหนังเรื่อง BABEL กัน ประเด็นอยู่ที่ว่า
อยากดูหนังที่เพื่อนบอกว่า เขาวิจารณ์ว่าเป็นหนังที่ Brad Pitt รับบทบาทที่ดีที่สุดในชีิวิตแล้ว และ ก็หนังได้เข้าชิง Academy Award ด้วย มันก็คืออันเดียวกับรางวัล Oscar แหละนะครับ ปีนี้ครั้งที่ 79 แล้ว

ไปดูรายละเอียดเกี่ยวกับ Oscar ได้ที่ http://www.oscar.com/ นะครับ
คือ ยืนรอเพื่อนซื้อตั๋ว เลยจับผิดโปสเตอร์หนังได้ครับ ดูไล่จากภาพแรกมุมไกล
Zoom เข้าไปอีกหน่อย
Zoom สุด ๆ (เท่าที่มือถือ Nokia 6630 จะอำนวยแล้วนะครับ)
คำว่าการสูญเสียพิมพ์ผิดน่ะครับ











































ระหว่างรอเข้าโรงหนังนั้น....ขอตั๋วเพื่อนจะดูว่าฉายโรงไหน (ปกติ เราควรจะดูโรงหนังที่จะฉาย ตั้งแต่ตอนจองหนังแล้วไม่ใช่เหรอ..) แต่ว่า...คนส่วนใหญ่จะมาดูกันอีกทีตอนจะเข้าโรงหนังหรือเปล่าครับ
คือผมเป็นพวกดูแค่ตอนจะเข้าโรงหนังแค่นั้น ตอนซื้อไม่ดูน่ะครับ เลยจะถามหาพวกซะหน่อย

































ตั๋วของ SF Cinema นี่เป็นเพราะมันต้องการลดต้นทุนการผลิตหรือว่า อะไรอ่ะครับ ผมว่ามันไม่ได้พิมพ์จางแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวมั้งครับ สงสัยเอาค่าน้ำหมึก ไปทำ Magnet แจก อยู่กระมัง
ผมในฐานะผู้บริโภค ..รู้สึกว่า จ่ายเท่ากันกับตั๋วหนังที่ Major Cineplex แต่ตั๋วชัดเจนกว่า (เพื่อนผมมันสะสมตั๋่วหนังที่มันได้ดูน่ะครับ มันเลยเซ็ง ๆ ว่า ตั๋วไม่ชัดเลย ไม่สวยอ่ะ)
เผลอ ๆ ค่าตั๋ว SF Cinema แพงกว่าด้วยป๊ะครับ ผมไม่ค่อยจะได้ดูโรงเท่าไหร่ ถึงดูก็ไม่ค่อยจำราคา จำได้แค่ว่าประมาณ 100 บาท นี่ก็นิสัยเสียของผมอีกข้อหนึ่ง ไม่ค่อยจะจำอะไรที่สำคัญ กับการใช้จ่าย และ การใช้ชีิวิตของตัวเองเอาซะเลย

หยอดเหรียญรถไฟฟ้าใต้ดิน อีกแระ ขอวิจารณ์หน่อยเห๊อะ

















ไหน ๆ ก็ใช้บริการรถใต้ดินแล้วอ่ะนะครับ ก็เลยมาขอวิจารณ์นิึดนึงแล้วกันครับ

1. ช่องรับเงินทอนมันกว้างมากเลยครับ คือ เวลาใช้งาน เมื่อใส่ธนบัตร (หรือหยอดเหรียญ) เข้าไปแล้ว เหรียญโดยสารก็จะไหลออกมาทางช่องนี้ แล้วก็ เงินทอน ก็จะไหลออกมาทางช่องเดียวกัน ทีนี้ปัญหาของผมคือ....เหรียญที่ไหลลงมาทางด้านซ้ายมือของเรา มันดันกระเด็นกระดอนไปอยู่มุมขวา
ส่วนไอ้เงินทอนที่ไหลออกมา มันก็กระจายตัวได้อย่างดีเยี่ยม ประหนึ่งเหรียญสิบเหล่านั้นทำตัวเป็นสสารในสภาพก๊าซ...

ผลที่ได้คือ...คนข้างหลังผม...มองผมดิ่...แบบสายตาประมาณว่า..มรึงจะควานหาอะไรขนาดนั้นฟะ...ก็มันหาไม่เจอจริงๆ นี่หว่า...

ระวังนะครับ ตรวจนับเงินทอนกันด้วย ไม่ต้องกลัวอาย..ผมว่าใคร ๆ ก็มีปัญหานี้เหมือนกันแหละน่ะ
(หรือเปล่าหว่า)
















นอกจากนี้ เก็บมาฝากนิดนึงครับ ว่า โทรศัพท์สายตรงบริเวณชานชาลา ใช้ติดต่อพนักงานในกรณีฉุกเฉินได้ทันทีที่ยกหูโทรศัพท์ ............ดังนั้น อย่าสะเหร่อไปยกเล่นกันล่ะครับ ...คือผมว่า พวกชอบเล่นนู่นนี่ มันก็มีอยู่ครับ ก็ไม่ได้ว่าอะไรกันครับ
เด็กซนคือเด็กฉลาด วัยรุ่นซน ก็วัยคะนอง ผู้ใหญ่ซน .....ผมน่าจะเป็นพวกหลังสุดเีนี่ยแหละครับ

ก็แบบว่าหากฉุกเฉิน (ถึงแม้ว่ามันจะไม่เกิดการชน...มานานแล้วก็ตามเถอะครับ เผื่อต้องใช้) ก็ฝากนึกถึงไว้ ถ้าต้องการติดต่อพนักงาน ก็มองหากันดูนะครับ ตามชานชาลา รถใต้ดิน

หนึ่งคน 2 มือ (ถือ) อันนึงไว้โทรออก อันนึงไว้รับสาย
















วันนี้อยู่บนรถเมล์ เห็นคนหนึ่ง สายเข้า (ปล. ถูกเพื่อนยิงมาให้โทรกลับ) ก็ต้องรีบควักโทรศัพท์จะรับ รับไม่ทันไอ้มือยิงคนนั้น เขาก็ต้องควัก มือถือ อีกเครื่องหนึ่ง ขึ้นมา อ่อ มันเป็น pct ครับ คือ pct เนี่ย ก็เป็นที่รู้กันดีว่า ไม่รู้มันจะทำให้ mem เบอร์ยากขนาดนั้นทำไม เขาก็เลยต้องดูเบอร์จากมือถือ แล้วก็กดโทรออกด้วย pct

โอ้ว....พระเจ้า...ผมว่า คุณแม่ผมที่ต่างจังหวัด คงไม่เจอกับเหตุการณ์พัลวัน ขนาดนี้เป็นแน่แท้



เมื่อก่อน ไม่ค่อยจะมีมือถือ
ต่อมา เริ่มมีกันครบ คนละเครื่อง
ตอนนี้ คนเมือง เริ่มมีเครื่องที่สองกันแล้ว



ทำไมผู้ให้บริการมือถือ มันไม่สามารถเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคได้นะ ...เคยนึกกันมั้ยครับ คือ
ไอ้โปรไว้โทร ก็ให้พวกบ้าโทรเกินไป
ไอ้โปรไว้รับ ก็แหม..นานดีเหลือเกิน
ก็ไม่รู้จะเอาเวลาไปแจกซิมฟรีให้เขามาเปิดเบอร์ำทำไมนะ...ไม่เข้าใจอ่ะ..ใครรู้เหตุผลการแจกซิมเยอะ ๆ แล้วระบบรองรับไม่ได้แบบนี้บ้างอ่ะครับ

กลับบ้านมาเหนื่อย ๆ แต่ทำไมคนขับรถเขาไม่เหนื่อยมั่งนะ

เคยคิดกันมั้ยครับว่าเราทำงานนั่งออฟฟิศ ไม่ได้วิ่งไปวิ่งมาซะหน่อย แรงที่ออก ก็แค่กดปุ่มเครื่องถ่ายเอกสาร กับ ออกแรงกด keyboard computer , ตกเย็นมา ไม่มีเวลา ไม่มีเรี่ยวแรง จะทำอะไรให้ตัวเราเองมีความสุขเลย....

ที่วันนี้พูดถึงเรื่องนี้ก็เพราะว่า..วันนี้ เหนื่อยครับ (เหนื่อยจริง ๆ นะเอ้า อิอิ) คือ เดินกลับบ้าน จากป้ายรถเมล์ ผ่านท่ารถสองแถว (อันนี้มันคันใหญ่่อ่ะครับ มันสองแถวหรือเปล่าอ่ะครับ หรือเขาเรียกว่ารถอะไร..)
แอบถ่ายคุณลุงคนขับรถ...นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ แบบสบายใจเฉิบอ่ะ...คือ
ท่ารถนี้น่ะครับ ผมเคยนั่งไปโลตัสวังหินนะ 5-6 บาทเองครับ มีคนนั่งไปกับผม แค่ 5-6 คนแค่นั้นจริง ๆ ครับ ผมไม่รู้ว่าเขาอยู่ได้อย่างไรกันอ่ะครับ















ที่จะบอกก็คือ คนที่เขาทำงานกับฝุ่นกับควัน กับการต้องเหนื่อยกายขนาดนี้ แล้วไม่รู้ว่าจะมีรายรับเท่าไหร่ เนี่ย คุณลุงเขายังหาเวลา เพิ่มความสุขให้กับตัวเองได้เลยครับ
เราจะทำงานกันแล้วปล่อยให้คนอื่นมาโขกสับ แล้วก็ บอกตัวเองว่าต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้านายเราพอใจ แล้วให้เงินเดือนเพิ่ม (หรือเปล่าก็ไม่รู้) ต้องไปรักษาหน้าตา และ รองรับอารมณ์ คนอื่น มาทั้งวัน....

พอกลับมาถึงครอบครัว เรารักษาน้ำใจคนใกล้ตัวเราบ้างหรือเปล่าครับ

อยากให้ลองปรับตัวเองนิดนึงนะครับ คือ อย่าไปหวังเศษเงินเดือนที่จะเพิ่มจากใครก็ไม่รู้ สู้เราให้ความสุข กับคนใกล้ตัวเรา หรือ ตัวเราเองดีกว่า ได้ผลกลับมาทันทีไม่ต้องรอประเมินผลงานปลายปีด้วย เราดีไป เขาก็ดีตอบ เขาก็มีความสุข....รักตัวเองและ คนใกล้ตัวให้มากขึ้นกันเถิดครับ

Macadamia Nut รสวาซาบิ ของดอยตุงเชียวนะเอ้า









































WASABI MACADAMI NUTS : จำไม่ได้ว่ากี่บาท รู้สึกจะ 50 กว่าบาทแน่ะ แบบว่านับเม็ดได้เลยนะ แต่ก็คืออารมณ์อยากกินนะครับ เดินไปซื้อตรง ดอยตุง
ถ้าใครทำงานแถวสีลม ร้าน Golden Place อยู่ชั้นใต้ดิน ของตึก CP Tower น่ะครับ
ร้านนี้นะ เด็ดเลยอีกอย่างที่ขอแนะนำนะครับ คือ ข้าวโพดต้มครับ หวานสุด ๆ ไม่รู้เขาใส่น้ำตาลลงไปด้วยหรือเปล่าอ่ะครับ คือ มาเทียบกับร้านข้างถนน นะ หวานผิดกันจริง ๆ ในดอยคำ ฝักละ 10 บาทมั้งครับ ซื้อขึ้นไปกินเล่น แก้ง่วงตอนบ่ายใน office ก็ดีนะครับ แนะนำครับผม
ปล. ไม่ได้ค่าโฆษณานะเอ้า แค่เล่าสู่กันฟังครับ

Friday, February 16, 2007

วิจารณ์ Toeic อีกทีแล้วกัน

เพิ่มเติมอีกนิดหน่อยแล้วกันครับ ไปครั้งนี้ มีให้ไปนั่งรอที่ "ร้านนั้น" ด้วย วันนี้คนไม่เยอะ ตอนผมเข้าไป (ประมาณ 12.10) ไม่มีคนเลยซักกะคนเดียว ก็เลยนั่งอ่านหนังสือกับเพื่อน ๆไป ข้อเสีย ผมไม่ชอบใส่นาฬิกา คือ ส่วนตัวรู้สึกว่า มือถือมันดูได้ แล้วจะต้องซื้อนาฬิกา ราคาแพง ๆ เกือบเท่ามือถือเครื่องนึงเนี่ย มาใส่ให้ดูเวลาได้อย่างเดียวทำไมฟระ..แค่นั้นแหละครับ เลยเลิกใส่นาฬิกา (ซะงั้น)

เรื่องอากาศ วันนี้ไม่หนาวเท่าไหร่คือหนาวตอนแรก ๆ พอซักพักนึง ช่วง Listening ผ่านไปซักครู่ เริ่มฟังไม่ทัน ก็รู้สึกว่าอากาศชักจะร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที เหงื่อเม็ดน้อยๆ ก็เริ่มซึม ๆ ขึ้นมาตรงบริเวณหน้าผาก ถึงกับเอาหลังมือปาดเหงื่อไปหนึ่งทีครับ เซ็งอีกอย่าง แงร่งงงง วันนี้มันวันตรุษจีน Grammy เขาล่ะมั้งครับ ตีฆ้องร้องป่าวกันสุดชีวิต นอกจากนี้สอบห้อง 1905 นั่งริมหน้าต่าง พ้นระยะของลำโพง ผมว่ามันก็มีผลนะเอ้า ได้ยินชัดเจนกว่า กับได้ยินไม่ค่อยถนัด มันก็ไม่ไหวนะ ผมว่าผมเสียเปรียบ

แถมไอ้นาฬิกาบอกเวลาสอบที่แขวนอยู่หน้าห้องน่ะครับ ผมมองเกือบจะไม่เห็นแน่ะ คือสายตาผมปกติดีนะครับ แต่มันไกลๆ แล้วก็เยื้องๆ ไอ้เพื่อนผม ได้นั่งฝั่งริมประตู เสียงเงียบสบายใจ ไอ้ผมนะ ต้องสู้ฟันฝ่ากับเสียงการจราจรด้านนอกหน้าต่างด้วยอ่ะ เดี๋ยวบีบแตร เดี๋ยวเสียงนกหวีด โอยยย ตายๆ กรูตาย

ผมเดาตัวเองไม่ออกเลยครับว่าจะได้เท่าไหร่ ความรู้สึกตอนนี้ถ้าถามถึงคะแนน Toeic ล่ะก็
จะได้คำตอบจากผมไปว่า
... เฮ้อ...เฮ้อ.......................(พยายามประมวลผลอีกนิดนึง) แล้วก็.........ตอบว่า
*
*
*
*
*
*
...เฮ้อ....กรูไม่รู้ว่ะ...(ฮา)

ไปสอบโทอิกมาขอวิจารณ์หน่อย

ไปสอบมาแล้วครับ..ออกจากบ้าน 10 โมง นัดเจอเพื่อนตรงสถานีรถใต้ดิน สุขุมวิท ซึ่ง ตรงกับสถานีรถไฟฟ้า อโศก...ผมไม่เรียกรถใต้ดินว่า รถไฟฟ้าใต้ดินนะครับ..ผมแยกไปเลยอ่ะ..ว่า รถไฟฟ้า สำหรับผมจะหมายถึง BTS แต่ถ้ารถใต้ดิน มันก็มีใต้ดินเดียวอ่ะครับ..

คือแบบบางคนเขาจะบอกว่า..รถไฟฟ้าใต้ดิน..แฮ่...พอดีผมขี้เกียจพูดยาว ๆ น่ะครับ
ไปถึงห้อง TOEIC หลังจากไม่ได้ไปมาสองปีก็เห็นความเปลี่ยนแปลง..ตรงโต๊ะรับลงทะเบียนน่ะครับ เจ้าจอ Apple สีขาว ทั้งสี่จอ ..สร้าง look ที่ดูทันสมัยขึ้น แต่ทำให้มันยิ่งขัดกับ สีของไม้ธรรมชาติ ที่มีเป็นสีหลัก ๆ รวมถึง counter ไม้ (อันนี้ไม่แน่ใจนะครับ แต่รู้สึกว่า counter ก็เป็นไม้)
ก็ลงทะเบียน ถ่ายรูป เฮ้อ...เหมือนเดิมครับ ตรงนี้...ถ่ายออกมาหน้าเบลอ ๆ แค่มองเห็นล่ะ..แต่ช่างมัน..ใช้แค่แป๊ปเดียว เสร็จแล้วก็ให้เดินมาจ่ายตังค์อีกทีที่ counter

ทำไมนะ..ผมว่า มี counter รับลงทะเบียนตั้ง 4 อัน แต่ว่าต้องให้เดินมารวมกันจ่ายตังค์ที่ counter เดียว ซึ่ง counter ก็สูงมาก ไม่มีพนักงานนั่งประจำอ่ะ..จะมีพนักงานที่เขาอยู่เยื้อง ๆ เข้าไป ซึ่งเขามีโต๊ะทำงานของเขาอยู่ตรงนั้น พอเราเดินไป ก็แบบว่า อ้าว..ไม่มีพนักงาน..ก็ต้องทำท่าชะเง้อมองหน่อย ให้เขาเห็น แล้วเขาก็รีบมาบริการเราครับ
ผมว่าที่เขาให้จ่ายตังค์ที่เดียว เนี่ย คงเป็นเพราะเรื่องมีเครื่องปริ้นท์เครื่องเดียวหรือเปล่าครับ แต่ว่า สำหรับผม ผมมองว่า ถ้ามีตังค์ซื้อ Apple นั่น ตั้ง 4 เครื่อง เอาเครื่องปริ้นท์ เล็ก ๆ มาตั้งไว้ที่โต๊ะของทุกคน และ ให้พนักงาน register รับตังค์ด้วยเลย ดีกว่ามั้ยครับ หรือว่า ถ้าคนมาเยอะ ๆ ต้องการรีบรับลงทะเบียนให้ได้เยอะ ๆ ก่อน แล้วค่อยให้ไปรอจ่ายเงินด้านข้างเป็นกระจุกแทนอ่ะ..

ก็นะ..แหม..ผมก็พวกมี Service mind สูงพอสมควรเสียด้วยครับ...เรื่องตัวพนักงาน และ การอธิบายต่าง ๆ ขอชื่นชม ย้ำ ชื่นชม ทุกอย่างเคลียร์ และ ถ้าฟังไม่ทัน ถามซ้ำได้ โดยไม่มีการ "ชักสีหน้า" ประทับใจเรื่องนี้ครับ แต่ผมก็เซ็ง ๆ ว่า ห้ามเอาอะไรเข้าห้องสอบ นอกจากกระเป๋าสตางค์ แล้วถ้าหายขึ้นมา จำได้ว่า สองปีที่แล้วที่ไปสอบ (ตุลา 2004) บอกว่า ไม่รับผิดชอบไม่ใช่เหรอครับ..

แล้วตอนไปหยิบ ๆ จับ ๆ ก็มั่ว ๆ กรูกันเข้าไป บัตรรับฝากอะไรก็ไม่มี ผมไม่ปลื้มครับ..อันนี้ สองปีที่แล้วเป็นยังไง ปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น..คือเรื่องกลัวการลักลอบเอาอุปกรณ์ electronics เข้าห้อง ไปอัดข้อสอบ หรือ โกงข้อสอบ อันนั้น ผมเข้าใจครับ แต่ไม่รู้ว่าเหตุผล ของการบังคับให้เอาของวางไว้ด้านหน้า โดยที่ไม่มีการรับประกันของฝาก แถม สองห้องสอบ แต่ใช้ที่วางของร่วมกันด้วยนี่ครับ มันยิ่งไม่สามารถป้องกันการหายได้เลยนะครับ..ใครพอจะทราบเหตุผล พอจะบอกผมได้ซักหน่อยมั้้ยครับ

Wednesday, February 14, 2007

ถุงโอวัลตินสายเดี่ยว

ถุงสายเดี่ยว ซื้อโอวัลตินวันนี้ ก็ได้เห็น นวัตกรรมใหม่ ออกมาให้ใช้ครับ
สายเดี่ยว พร้อมดูด อืม..ผมว่ามันไม่ค่อยจะถนัดมือผมเท่าไหร่เลย เวลาหิ้วเนี่ย ถุงมันจะไม่ตั้งตรง ๆ เหมือน ถุงสองหู น่ะครับ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันช่วยประหยัดต้นทุนของผู้ผลิตถุงหรือเปล่าน่ะนะครับ ใครทราบเรื่องบ้างน่ะครับ ว่าเพราะอะไรจึงมีนวัตกรรมใหม่อันนี้ออกมาครับ สงสัย สงสัย


ร้านโกโก้หลัง SilomComplex

24 Jan 2007 12.31













ไปกินข้าวหลัง Central Silom Complex เจอร้านโกโก้ที่ขายดีมั่ก ๆ อยู่ร้านนึงครับ อยู่ตรงทางลงจากที่จอดรถของ Central ถ้าเข้ามาทางซอยศาลาแดง ให้เลี้ยวขวามา 100 เมตร คนมุงจนล้นไปกลางถนนแน่ะครับ ...ยืนดีพี่เขาทำ..ลูกค้านะ order แบบต้องจดลงกระดาษรอคิวกันเลยครับ แล้วก็ยืนรออาบแดด ดูลีลาคุณพี่ผู้ชายทำไป ผมยืนนับนะครับ พี่เขาจะตัก Cocoa 7 ช้อนกับอีกกะติ๊ดนึง คือ Cocoa นี่ก็ปาเข้าไปครึ่งค่อนแก้วแล้วครับ จากนั้นก็ไปตักนมสดที่ตั้งไว้บนเตาแก๊สด้านขวามือพี่เขา มาใส่เข้าไปอีกประมาณ ครึ่งแก้ว แค่นั้นก็ล้นแก้วเล็ก ๆ นั่นแล้วครับ แล้วก็คน ๆ ๆ ๆ ๆ ให้เข้ากัน Cocoa นี่ก็ละลายช้าเหมือนกันนะครับ
เสร็จแล้วก็ได้ Cocoa แสนเจ้มจ้น แล้วล่ะครับ ...เข้มเกินไปสำหรับผมอ่ะ...ว่าง ๆ ใครมาแถวนี้ลองไปกินดูนะครับ
ใครว่ามันเข้มพอดีมั่งอ่ะ...ผมว่า Cocoa มันเยอะไปจริงๆ นะ (#-#)

Friday, February 9, 2007

Chutney คืออะไรฟะ

Foodland ตรงซอยพัฒน์พงศ์ หลังจากผ่านเจ้าหมาหลับคาถุง มาได้ ก็แวะ Foodland ของเยอะมั่ก ๆ ขอบอกครับ...ไม่เชื่อดูรูปดิ่..มันไม่มีที่จะวางแล้วนะนั่น น้ำผลไม้ ถึงได้กระเด็นไปเสียบอยู่บนสุดขนาดนั้น ยาวตลอดแนวเลย
คือเกิดมาเนี่ยผมไม่เคยได้กินของฝรั่งเมืองนอกเมืองนามากมาย...เลยสงสัยว่า ไอ้ SWEET MANGO CHUTNEY นี่มันอะไรอ่ะครับ คือถ้ามันเป็นแยมก็แยมฝรั่งมั้ง แต่พอมันเป็น CHUTNEY มะม่วงนี่มันทำให้ผมสงสัยครับว่า มันคืออะไรอ่ะครับ รสชาดยังไง..แต่ว่าประหยัดตังค์ ก็ไม่ซื้อกินดิ่...
ใครเคยกินมั่งอ่ะครับ..อร่อยมั้ยอ่ะ..กินกับอะไรอ่ะ..แยม หรือ น้ำพริก หรืออะไรอ่ะครับ


หมาหลับคาถุงไก่ทอด!

19 Jan 2007
ไปกินข้าวตรงแถวฝั่งสุรวงศ์ ตรงซอย ทะลุพัฒน์พงศ์ ได้น่ะครับ สุนัขในภาพมันหลับคาถุงไก่ถอดเลยอ่ะ...ตัวจริง ๆ มันอ้วนเลยล่ะครับ
แต่ตอนไปยืนถ่ายมันต๊กกะใจตื่นมาทำหน้าวาดระแวง
เราก็กลัวมันจะกัดเอาด้วย ถ่ายออกมา กลายเป็นว่า มันตื่นอยู่ แต่ถ้าสังเกตุดี ๆ ตามันแดง ๆ นะเอ้า เพิ่งตื่นจากถุงไก่ทอดจริง ๆ
มีมากเกินความจำเป็น หลับคาถุงอาหาร
ปัจจัย 4 ที่เกินพอดี ไม่มีความพอเพียง
แต่จะว่าไป คนให้ก็อยากให้ เพราะหวังได้บุญ และ สงสารมัน แต่ไอ้คนรับ ถ้าไม่รับ เขาจะด่าเอาได้..ก็ต้องรับ แล้ว ก็หลับ คาถุงไปเลย...แบ่งไปให้หมาตัวอื่นดีกว่ามั้งเนี่ยครับ

อุปกรณ์ดับเพลิงในรถใต้ดิน

คือผมก็ไม่รู้ว่าเขาอนุญาตให้ถ่ายรูปภายในรถใต้ดินหรือเปล่าน่ะนะครับ ก็แอบถ่ายมา คือจะบอกว่า ดูเจ้าถังดับเพลิงดิ่ครับ คือเอาไว้ดับเพลิงสำหรับเหตุฉุกเฉินใช่มั้ยครับ
แต่ที่สะกิดใจคือว่า..สังเกตุตรงสลักล๊อคที่ล๊อคไว้น่ะครับ มันเป็นลวดอย่างดี มีตราประทับ ล๊อคเรียบร้อย..แบบลองดูแล้วผมว่าอาจจะใช้เวลาซัก 1-3-5 นาทีเลยแหละ กว่าจะแกะเข้าไปหยิดเจ้าถังดับเพลิงได้น่ะครับ
แล้วเหตุการณ์ฉุกเฉิน มันคงลุกลาม กลายเป็นเหตุการณ์ ฉุกละหุก แล้วก็ เหตุการณ์ อุกฉกรรจ์ ไปจนได้สิน่า.. ลองสังเกตุกันดูบ้างนะครับ เครื่องมือ ป้องกันภัยสำหรับ สถานที่ใกล้ตัวเรา ทางหนีไฟ สำหรับที่ทำงาน คือแบบว่าเวลาตกใจ มันจะไม่มีสติ อะไรที่เราว่างๆ ก็เล็ง ๆ มอง ๆ ไว้ซะบ้าง กันพลาด นะครับ

กาละครั้งหนึ่ง: ตำรวจกับคนพิการ

ไปหาเพื่อนที่บางนา ลงรถไฟฟ้า BTS กับพี่ปอม ปอม มา ก็เห็นตำรวจโบกไล่แท๊กซี่ ที่จะส่งคนพิการ จากตรงทางลาดขึ้นลิฟท์สำหรับคนพิการ ลิฟท์นี้อยู่ฝั่งตรงข้าม Lotusน่ะครับ เราก็อ้าว..อะไรฟะ..คนพิการจะขึ้นยังไล่อีก..(หงุดหงิดแทนเล็กน้อย) พอเลยมา ก็มีทางหลบ และ มีเจ้าหน้าที่ เหมือน ๆ เทศกิจน่ะครับ (ถ้าไม่ใช่ต้องขออภัยด้วยนะครับ) ช่วยดูแลความเรียบร้อยให้ เปิดประตูรถ แล้วก็บอกให้อ้อมเข้าทางนี้ จะสะดวกและไม่ขวางทางตรงป้ายรถเมล์
อึ้ง ๆ หน่อยครับ..คือแบบว่า ใจเรามันไม่ดี คอยจ้องแต่จะจับผิดคนอื่น..แทนที่จะมองให้ดี ก็ดันไปเคืองเขาซะแหล้ว..คุณตำรวจแค่ต้องการอำนวยความสะดวกให้ป้ายรถเมล์ และ รถแท๊กซี่ แบบที่สะดวกทั้งสองฝ่ายน่ะครับ

โค่นบัลลังกวัง..ตื๊ด..ทอง

มาทำงานที่สถานีรถใต้ดินสีลม ช่วงนี้มีป้ายหนังฟอร์มยักษ์มาแปะไว้
ถ่ายรูปมาให้อ่านชื่อหนังอ่ะ ชื่อภาษาอังกฤษ
Curse of the Golden Flower
ศึกโค่นบัลลังก์วัง "---" ทอง
แค่เนี้ย รู้สึกว่าคนทำป้ายคงจะลำบากใจน่าดูแฮะ

Tuesday, January 30, 2007

วิธีซ่อนมิเตอร์น้ำหน้าบ้าน(ทำไม)

10 January 2007
พี่แอ๊นท์ กับพี่อุ๋ย เขาจะนัดกันกินก๋วยเตี๋ยวไก่..
ประสาหนุ่มโสด เบื่อห้องพัก ก็เลยขอติดสอยห้อยตามเขาไปด้วย
สมน้ำหน้า....ก๋วยเตี๋ยวไก่ หน้าตึกธนิยะ หมด 555 อยากลงไปช้าเอง
เลยได้พากัน ระเห็จ (คำนี้น่าจะสะกดถูกนะเนี่ย) ไปกินตรงข้าง Bank กสิกร ฝั่งสุรวงศ์
ก๋วยเตี๋ยวไก่ อร่อยอ่ะ เนื้อไก่ตุ๋นเนี่ย
ดูดปรื๊ด ดูดปรื๊ด
เลยแหละ เสียอย่างเดียว ไม่ได้ double point ซะเนี่ยสิ

กินเสร็จเดินกลับ พี่เขาจะเดินดูของ..เราก็นะ 19.43 แล้วเนี่ย ยังจะเดินดูกันอีก สมกับความเป็นเพศแห่งการจับจ่ายกันจริงๆ ปล่อยพี่เขาเดินนำไป ไม่ทันตรูก็จะแยกกลับบ้านเลยแหละ

เดินตามหลังพี่สองคนเขาไปเรื่อยๆ เจอป้ายนี้เขียนไว้ที่ร้านอะไรซักอย่าง ตรงสุรวงศ์เนี่ย..ฝั่งตรงข้ามธนาคารกสิกรสุรวงศ์

เขาเขียนว่า " มิเตอร์น้ำอยู่นี่ เปิดได้ หินวางไว้ เปิดได้ ไม่ได้ลงปูน "

คงไม่ได้กลัวหายมั้ง คงแค่ กลัวจะเสียพื้นที่อันแสนจะแพง ของใจกลางเมืองหลวงแห่งประเทศไทย
ถ่ายรูปเก็บไว้.....

เอ้า...ทำไมล่ะ...นึกดูนะ...อาจจะเป็นผมคนแรกเลย ที่เปิดซิง ถ่ายรูปป้ายนี้ในโลกเนี่ย..ใครจะมาถ่ายล่ะ
แต่มันก็ครั้งเดียวในชีวิตนะ เจออะไรก็ถ่ายเก็บไว้ก่อน ชาร์ตแบตได้น่ะ มือถือเนี่ย

ปล...ลองหาคำว่า มิเตอร์เข้าไป...โหย..มนุษย์เรา มันจะอยากวัดอะไรกันมากมายขนาดนี้ฟะเนี่ย มีมิเตอร์ มากมายหลายแบบเลยทีเดียว

แต่จะว่าไปคนคิด ก็เก่งนะ..
แต่คนทำขายสิ...มันฉลาดนะ
เก่งกับฉลาด มันอย่างเดียวกันมั้ยเนี่ย..?






นางแบบ กับ นายแบบ ปากซอยภาวนา

07 Jan 2007 18.44
วันนี้วันอาทิตย์ เดินออกไปหาข้าวกินหน้าปากซอย เดินไปเรื่อยๆ กินจนเบื่อทุกร้านแล้วนะเนี่ย
มานั่งคิดดูว่า 1 ปีมี 365 วัน แต่มีร้านให้เราเลือกกิน ประมาณ 10-20 ร้าน หน้าปากซอย
มีอาหารคาว ขาย เฉลี่ยแล้วน่าจะสามารถถึง 365 ชนิดได้นะ
แต่ไม่อยากจะเชื่อว่า ตรูกินซ้ำซ้ำ ซากซาก มา เป็นเวลาปีกว่า สองปีแล้วเนี่ย

มอง ๆ ไป แกงเหลืองก็ไม่ค่อยกิน นู่นนี่ ตรูก็ไม่กิน
สุดท้าย ถ้าให้นับนี่ น่าจะนับได้เลยนะเนี่ย
สุดท้าย เหมือนจะเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายนะ...อืม แต่ตรูก็เลือกกินอยู่ดีนั่นแหละ..

ไปร้านบะหมี่เกี๊ยวอีกแระ ปากซอยภาวนา ร้านตั้งอยู่หน้า อาคารพาณิชย์ หรือว่า พานิชย์ ฟะเนี่ย คนไทยแท้ ๆ ยังเขียนไม่มั่นใจเลย
ในอาคารพานิชย์นั้น มีร้านขายเทป ซีดี (ไม่เถื่อน แต่ถูก) อยู่ แล้วมีป้ายโฆษณา เอ๊ะ ศศิกานต์ (น่าน คิดว่าชื่อนี้เขียนถูกนะเนี่ย..ไม่ต้องดูเลย ...ใครฟะ ญาติตรูก็ไม่ใช่ สะเหร่อ ไปจำอะไรใส่หัวไว้อีกแล้ว)

โปสเตอร์นางแบบเขานอนโพสต์ท่า บนพื้นหญ้าสีเขียว สวยชุ่มชื่น
ไล่สายตาตั้งแต่หน้า มาคอ มาอก มาเอว มาสะโพก มาขา มาปลายเท้านางแบบ ไล่ลงมาถึงพื้นหญ้า ไล่ลงมาใต้ โปสเตอร์
ก็ได้มองไล่สายตาอีกครั้ง แต่คราวนี้ทำด้วยความเร็ว ระดับเร็วที่สุดที่ลูกนัยน์ตา (ไม่ใช้ ลูกกะตา เพราะไม่ใช่ยาย และ ไม่ใช้ ลูกตา เพราะไม่ใช่น้าๆ แม่ ๆ ของเรา)
เร็วสุด ๆ ประหนึ่งว่า..เร็วเกือบได้ระดับความเร็วแสง

เพราะมีนายแบบไปนอน ไม่รู้ว่า คนบ้า หรือ ไร้ที่อยู่ หรือ เมา
คือ ที่ต้องมองเร็ว ๆ เพราะไม่ใช่ว่ารังเกียจอะไรมากมายหรอกครับ
กลัวคนอื่นจะเห็นสายตาเรา มองเขาด้วยความพินิจพิเคราะห์
แล้วจะคิดว่าเรามองคนอื่นที่ต่ำกว่า ด้วยการดูถูกเหยียดหยาม

ก็ไม่ต้องให้คนอื่นเห็นสายตาที่ไม่ดีอย่างนั้นจากเราจะดีกว่า
เราเองก็ต่ำ เราเองก็สูง ของอย่างนี้ ไม่สามารถสังเกตุได้จากการแต่งตัว

ต่ำที่ใจ อยู่สูงแค่ไหน มันก็ต่ำ ว่ามั้ยครับ

ปล...ไปหามาแล้ว ว่า พานิชย์ ไม่มีในDictionary ของ NECTEC แต่มีคำว่า พาณิชย์ นะครับ ถูกหรือเปล่าไม่รู้นะ แต่ต่อไปก็จะใช้ พาณิชย์ แล้วล่ะครับ

พัทยาฮาเฮ

10 Dec 2006
Pattaya ฮาเฮ

เหมารถตู้ 1500 บาท 2 วัน 3000 บาท
ค่ากินค่าอยู่ หารกัน
ปุ้ม ปาร์ค แบงค์ เอฟ เต่า ตาล โบนัส
หมดกันคนละ 1000 บาท บวกลบ 100 เองมั้ง
ประหยัดดี
ไม่มีอะไรเลยนะรูปนี้ ถ่ายก็ไม่ชัด

แต่แบบว่า...มานั่งนึกว่า...หลังจากเรียนจบไป...จะมีเวลามาเจอหน้ากันซักกี่ครั้งนะ ยิ่งพอแต่งงาน มีลูกมีเต้า (อันนี้รู้สึกว่าฝ่ายสาว ๆ จะมีกันอยู่แล้ว) ก็ขอปีละครั้ง เจอกัน อาจจะพอไหวมั้ง

แป๊ปเดียววันเวลาก็ผ่านไปไว มาก ๆ ทำให้ต้องกลับมานั่งทบทวนชีวิตอีกทีว่า
"เราทำอะไรอยู่"
"แล้วเราสิ่งที่ทำอยู่ จะก่อให้เกิดอะไรกับเราต่อไป"
"แล้วสิ่งต่อไปอันนั้นน่ะ...เราอยากได้อย่างนั้นเหรอ"
"แล้วถ้าไม่อยากได้อย่างนั้น..."
"เราต้องทำอะไรตอนนี้ดีล่ะ"
"นั่งทำงาน ง๊อก ๆ ได้เงินเดือนมา ก็ละลายทรัพย์ให้ชนเดือนเหรอ"

คิดแล้วอย่าปลง
Life Management
วางแผนอนาคตซะ
นี่สงสัย ต้องไปปรึกษา ที่ปรึกษาทางการเงิน Financial Planner ซะแล้วม๊างง ตรู
อืม ๆ คิดเองได้..ไม่เป็นไร..วางแผน 3 ปี 5 ปี ซะ แล้วก็ 10 ปีต่อไปด้วยเลยท่าจะดี

Monday, January 29, 2007

หอสมุด ม.เกษตรเปิดกี่โมง?

12 November 2006

วันนี้มีไปอบรมเรื่อง....อะไรซักอย่าง...ที่อาคารวิทยบริการ Kasetsart University ศิษย์เก่า คุณอุตสาหกรรมเกษตร ครับผม...รู้สึกดีแปลก ๆ ที่ได้กลับมาเดินเล่นในมหาวิทยาลัย ที่เราได้เอาความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ชีวิต จากที่นี่ ออกไปแลกเงินมาเลี้ยงชีพ (ทั้งชีพตนเอง และ ชีพคนอื่นๆ ทั้งในครอบครัว และ มิตรสหาย)

นึกขึ้นมาได้ว่า วันหลังว่าง ๆ จะมานั่งอ่านหนังสือที่สำนักหอสมุดดีกว่า เลยเดินไปดู จากคณะวิทยาศาสตร์ ไปหอสมุด หลังกินข้าวกลางวันเสร็จ ..ปรากฏว่าปิดแฮะ..วันหยุด.. เลยจับภาพมาไว้ดู.ว่าเปิดวันไหน เวลาไหนบ้าง

...ผ่านไป จน 30 January 2007 ก็ยังไม่ได้แวะไปอยู่ดี..เพราะว่า..หกคะเมนตีลังกาอ่านอยู่ที่ห้อง สบายกว่าเป็นไหน ๆ ตื่นขึ้นมาก็คว้าหนังสือมาอ่านได้ทันที ขี้ตาเขรอะ ก็อ่านได้..ไม่ต้องเกรงใจใคร...